ตัว Router จำเป็นต้องมีตารางเลือกเส้นทาง เช่นเดียวกัน ตารางเลือกเส้นทางของ Router ไดมาจาก 2 วิธีการ ได้แก
• วิธีการที่จัดตั้งโดยผู้บริหารจัดการเครือข่าย
• วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารโดย โปรโตคอลเลือกเส้นทาง Routing Table
ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในตาราง Routing Table ของ Router ประกอบด้วย ข่าวสารเกี่ยวกับ Network Address ที่แวนพอร์ตแต่ละแห่งของมัน รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ หากท่านต้องการดูข้อมูลภายในตารางเลือกเลือกเส้นทางของ Router ท่านสามารถพิมพ์คำสั่ง และจะมีข้อมูลข่าวสารปรากฏดังนี้
Router# show ip route Codes: c - connected, S - static, I - IGRP, R - RIP, M - Mobile, B - BGP D - EIGRP, EX - EIGRP external, O -OSPF, IA - OSPF inter area N1 - OSPF NSSA external type 1, N2 - OSPF NSSA external type 2 E1 - OSPF external type 1, E2 - OSPF external type 2 , E - EGP I - IS-IS , L1 -IS-IS level-1 , L2 - IS-IS level-2, * - candidate U - per-user static route, o - ODR Gateway of last resort is not set C 204.204.8.0/24 is directly connected, Serial0 C 204.204.7.0/24 is directly connected, Serial1 I 223.8.151.0/24 [ 100/8576] via 204.204.7.1, 00:00:11, Serial1 I 199.6.13.0/24 [100/10476] via 204.204.7.1, 00:00:11, Serial1 S 201.100.11.0/24 [1/0] via 204.204.8.2 C 210.93.105.0/24 is directly connected, Ethernet0
จากข้อมูลในตารางเลือกเส้นทาง เราสามารถแบ่งประเภทข้อมูลออกเป็นส่วนๆ ดังนี้
• วิธีการที่ใช้เพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับ เส้นทาง ตัวอย่าง เช่น I ในตารางตัวอย่างนี้ แสดงถึงการใช้โปรโตคอลชื่อ IGRP เป็นต้น
• Network Address ปลายทาง ตัวอย่าง เช่น 199.6.13.0 แสดงให้เห็นว่าเป็น Subnetwork
• Administrative Distance แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้ในการเรียนรูเกี่ยวกับเครือข่ายนี้ (คำว่าเรียนรูในที่นี้ หมายถึง Router เรียนรูสถานะและความมีตัวตนของเครือข่ายนี้) ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี ค่า 100 เป็นค่าปริยายของโปรโตคอล IGRP
• ค่า Routing Metric ค่านี้ เป็นค๋าที่นำมาใช้เพื่อการคำนวณดูเพื่อหาว่า เส้นทางใดจะมีความเหมาะสมต่อการใช้เดินทางมากกว่า เส้นทางอื่น โดยค่าของ Metric ในที่นี้อาจเป็น ได้ที่เป็นระยะทางค่า Delay ความเร็ว หรือจำนวนของ Hop เป็นต้น
ตัวอย่างการจัดตั้ง Router เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างการจัดตั้ง Configuration ภายนอกของ Router เพื่อเชื่อม 2 เครือข่าย
จากรูปที่ 2 เป็นตัวอย่างแสดงการเชื่อมต่อ 2 เครือข่ายด้วย Router ที่ใชNetwork Address ที่ต่างกัน ซึ่งลักษณะการเชื่อมต่อแบบนี้ ท่านจะต้องใช3 Network Address หรือท่านอาจจะใช้ Network Address เดียว แล้ว แบ่งออกเป็น หลายๆ เครือข่ายย่อย หรือ Subnet ก็ได้ จะเห็นได้ว่า ที่คอมพิวเตอรแต่ละเครื่องจะต้องมีค่า Default Gateway เหมือนกันทุกเครื่อง ซึ่งค่า Default Gateway นี้ เป็นไอพีแอดเดรสของ Router ที่เชื่อมต่อตรงกับเครือข่าย
กระบวนการ Routing
ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนแสดงกระบวนการ Routing จากรูปที่ 2 มีรายละเอียดดังนี้
สมมติว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ A ซึ่งมีไอพีแอดเดรส 192.168.2.3 ต้องการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอรB ซึ่งมีไอพีแอดเดรส 192.168.5.7 ซึ่งอยู่คนละเครือข่าย แต่เชื่อมต่อกันโดย Router ดังนั้นกระบวนการ Routing มีดังนี้
1. คอมพิวเตอรA จะนำเอาค่าไอพีแอดเดรสของเครื่องตนเองมาทำการ AND กันในทางตรรกจนไดNetwork Address 192.168.2.0
2. คอมพิวเตอรA นำเอาค่าไอพีแอดเดรสของเครื่องคอมพิวเตอรB มาทำการ AND กัน ในทางตรรกอีกครั้ง จนกระทั่งได้ค่า Network Address เป็น 192.168.5.0 มาถึงตรงนี้เอง ที่คอมพิวเตอร์ A จะทราบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ B อยูคนละเครือข่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ คอมพิวเตอร์ A จะทำการตรวจสอบตารางเลือกเส้นทางในตัวมันเอง เพื่อดูว่า Default Gateway มีค่าไอพีแอดเดรสเป็นอย่างใด
3. หลังจากที่ตรวจพบค่าไอพีแอดเดรสของ Default Gateway อันเป็นประตูทางออกของเครือข่าย แล้ว คอมพิวเตอร์ A จะใช้โปรโตคอลชื่อ ARP เพื่อติดต่อขอทราบค่า MAC Address ของ Default Gateway จาก Router (หากในเครื่องคอมพิวเตอร์ A ไม่ได้ เก็บค่า MAC Address ของ Router ไว้ในขณะนั้น) ซึ่ง Router จะส่งกลับมาให้คอมพิวเตอรA
4. หลังจากที่ไดMAC Address มาแล้ว คอมพิวเตอรA จะนำมันมากรอกเข้าไปในช่องเก็บข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแอดเดรสของเฟรม จากนั้นก็ส่งออกไปจากการ์ดแลนแล้วมุ่งตรงไปสูRouter
5. เมื่อ Router ไดรับเฟรมจาก คอมพิวเตอรA แล้ว มันจะตรวจสอบความถูกต้องของเฟรม จากนั้น ทำการถอดเฟรมดังกล่าวออก เหลือแต่แพ็กเก็ต ขบวนการนี้เราเรียกว่า Decapsulation ซึ่งก็คือการถอดเฟรมออกในที่นี้ จากนั้น Router จะเอาแพ็กเก็ตมาอ่านค่าไอพีแอดเดรสเพื่อที่จะดูว่า ไอพีแอดเดรสปลายทางที่ คอมพิวเตอรA ต้องกาจะติดต่อด้วยคือใครอยู่ที่ใด โดยนำมันมาเปรียบเทียบดูในตารางเลือกเส้นทาง ของ Router ก็จะทราบว่า มีอยู่หรือไมหากมีอยู่และทราบว่าเส้นทางที่จะส่ง Packet ออกไป อยู่ ณ ที่พอร์ตใด เช่น Serial0 หรือ Serial1
6. เมื่อแพ็กเก็ตถูกส่งออกไปแล้ว Router ปลายทาง ตรวจพบแพ็กเก็ตก็จะนำมันมาตรวจสอบความถูกต้องของแพ็กเก็ตรวมทั้งไอพีแอดเดรส จากนั้น Router จะ ใช้ ARP Protocol ทำการสอบถาม MAC Address ของคอมพิวเตอรB (หากในตัว Router ไม่ได้เก็บค่า MAC ของคอมพิวเตอร์ต่างๆไว้ใน ARP Cache)
7. เมื่อ Router ได้รับ MAC Address มาจากคอมพิวเตอ์ B แล้ว ก็นำมันมาสร้างเฟรม โดยเอาแพ็กเก็ตที่ได้รับมาใส่เข้าไปในเฟรม จากนั้นส่งออกไปที่ เครือข่าย เดินทางไปสู่คอมพิวเตอร์ B อันจบสิ้นกระบวนการ Routing